วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โรคอ้วน

น้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน (Overweight and obesity) โดยองค์การอนามัยโลก ให้นิยามว่า น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันในส่วนต่างๆของร่างกายเกินปกติ จนเป็นปัจจัยเสี่ยง หรือ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆที่ส่งผลถึงสุขภาพ จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้

โดยเมื่อมีค่าดัชนีมวลกาย/ดรรชนีมวลกาย (Body mass index หรือ เรียกย่อว่า BMI/บีเอ็มไอ) ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป เรียกว่า น้ำหนักตัวเกิน  แต่ถ้ามีค่าดรรชนีมวลกาย ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เรียกว่า เป็นโรคอ้วน
น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน มีสาเหตุ วิธีวินิจฉัย การดูแลรักษา และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆเช่นเดียวกันทุกประการ แตกต่างกันที่ความรุนแรงของปัญหาทางสุขภาพ ในคนน้ำหนักตัวเกินจะรุนแรงน้อยกว่าในคนเป็นโรคอ้วน ดังนั้นในทางการแพทย์ ทั้งน้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วนจึงมักกล่าวถึงควบคู่กันไปเสมอ

ดัชนีมวลกาย คือ ค่าซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวกับส่วนสูง ซึ่งนิยมใช้เป็นตัววินิจ ฉัยว่า ใครน้ำหนักเกิน หรือใครเป็นโรคอ้วน โดยหน่วยของน้ำหนักคิดเป็นกิโลกรัม และหน่วยของความสูงคิดเป็นเมตร โดยค่าดัชนีมวลกายของแต่ละคน จะมีค่าเท่ากับ น้ำหนักของคนๆนั้น หารด้วยความสูงยกกำลังสอง ดังนั้นหน่วยของดัชนีมวลกายจึงเป็น กิโลกรัม/เมตร2 แต่โดยทั่ว ไปไม่นิยมใส่หน่วยของดัชนีมวลกาย  ซึ่งค่าดัชนีมวลกายของคนปกติ และคนผอมตามนิยามขององค์การอนามัยโลกคือ 18.5-24.9 และ ต่ำกว่า 18.5 ตามลำดับ


อย่างไรก็ตาม บางการศึกษา แนะนำว่า นิยามโรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกินในคนเอเชีย ควรแตกต่างจากที่องค์การอนามัยโลกกำหนด เพราะคนเอเชียมีรูปร่างเล็กกว่าคนอเมริกัน ยุโรป และอัฟริกัน โดย กำหนดให้คนผอม และคนปกติของชาวเอเชีย มีค่าดรรชนีมวลกาย น้อยกว่า 18.5 และ 18.5-22.9 ตามลำดับ ส่วนโรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกิน มีค่าดรรชนีมวลกาย ตั้งแต่ 23 ขึ้นไป และ ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป ตามลำดับ
องค์การอนามัยโลก และกลุ่มแพทย์ชาวเอเชีย ยังแบ่งโรคอ้วนออกเป็น 3 ระดับ เพื่อบอกความรุนแรงของภาวะ หรือ ของโรค ว่า ปานกลาง รุนแรง และรุนแรงมาก โดยระดับความรุนแรงมาก คือ ค่าดรรชนีมวลกายตั้งแต่ 40 ขึ้นไป (องค์การอนามัยโลก) หรือ ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปในคนเอเชีย
อนึ่ง ค่าดรรชนีมวลกายในผู้ใหญ่และในเด็กต่างกัน เพราะเด็กอยู่ในวัยเจริญเติบโต และมีความแตกต่างกันในการเจริญเติบโตระหว่างเด็กหญิงและเด็กชาย ดังนั้นในการคำนวณค่าบี เอ็มไอ จึงต้องใช้อายุและเพศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรียกว่า ค่า BMI-for-Age percentile ซึ่งบท ความนี้จะไม่กล่าวถึง เรื่องของน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนในเด็ก (เด็กโรคอ้วน) จะครอบคลุมเรื่องน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนเฉพาะในผู้ใหญ่เท่านั้น

อัตราส่วนระหว่างเอวกับสะโพก (Waist-hip ratio หรือ เรียกย่อว่า WHR/ดับเบิลยูเอชอาร์): เพื่อให้ง่ายขึ้น บางการศึกษาแนะนำให้วินิจฉัยว่า การมีไขมันเกินจนเป็นปัญหาต่อสุขภาพ ให้วัดรอบเอวและหารด้วยรอบสะโพก ในผู้ชายค่ามากกว่า 1 และในผู้หญิงค่ามากกว่า 0.8 แสดงว่า มีปัญหาจากร่างกายสะสมไขมันเกินแล้ว ทั้งนี้การวัด

  • รอบเอวให้วัดในตำแหน่งกึ่งกลางระหว่าง ซี่โครงซี่สุดท้ายที่คลำได้และสันกระดูกปีกสะโพก (Iliac crest)
  • ส่วนรอบสะโพกให้วัดในตำแหน่งระดับที่โคนขาทั้งสองข้างชนกัน
  • หรือรอบเอววัดจากรอยคอดระหว่างช่วงอกต่อกับช่วงท้อง
  • ส่วนรอบสะโพกวัดจากส่วนที่กว้างที่สุดของสะโพกหรือของก้น

รู้ได้อย่างไรว่า น้ำหนักตัวเกิน หรือ เป็นโรคอ้วน?
แพทย์วินิจฉัยว่ามี น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน ได้จากการหาค่าดัชนีมวลกายด้วยวิธีคำ นวณดังกล่าวแล้ว (บรรณานุกรมที่ 1) ส่วนตัวเราเองสังเกตได้ง่ายๆว่าอ้วนขึ้น จากการที่เสื้อผ้าเดิมๆใส่คับขึ้น หรือ น้ำหนักขึ้นเสมอจากการชั่งน้ำหนัก หรือ รู้สึกอึดอัด และเหนื่อยง่ายกว่าเดิม

ทำไมโรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกินถึงเป็นปัญหาทางการแพทย์?
น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนในปัจจุบัน จัดเป็นปัญหาทางสาธารณสุข เพราะประชากรทั่วโลก รวมทั้งในคนไทย มีปัญหาน้ำหนักตัวเกินและเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน เป็นทั้งปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เป็นปัญ หาต่อสุขภาพ และเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงมาก แต่อัตราเสียชีวิตก็ยังคงสูงต่อ เนื่อง

โรคที่มี น้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยง หรือ เป็นสาเหตุ คือ
  • โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง (โรคอัมพาต)
  • โรคเบาหวาน
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคไขมันในเลือดสูง
  • โรคนิ่วในถุงน้ำดี เพราะการมีไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้น้ำดีจากตับมีไขมันสูงตามไปด้วย ซึ่งไขมันจะตกตะกอนเกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่าย
  • มีปัญหาในการหายใจ มักเป็นโรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea)
  • เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายโรค เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะ เร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • มีปัญหาทางด้านสังคม ทั้งกับตัวผู้ป่วยเองและครอบครัว และมักเป็นโรคซึมเศร้า


สาเหตุของน้ำหนักตัวและโรคอ้วน ที่พบบ่อย คือ กินอาหารเกินความต้องการของร่าง กายทั้งประเภท (อาหารแป้ง ไขมันและอาหารใยอาหารต่ำ) และปริมาณอาหาร ร่วมกับ ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม และขาดการเคลื่อนไหวร่างกายจากสภาพการทำงาน และจากการมีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เคลื่อนไหว เช่น ติดทีวี ติดเกมส์ หรือ ติดคอมพิวเตอร์
นอกจากนั้น ที่พบเป็นสาเหตุได้บ้างเป็นส่วนน้อย คือ จากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายสะสมไขมันได้สูง โรคเกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง หรือโรคต่อมไทรอยด์ทำงานพร่อง/ต่ำ (ภาวะขาดไทรอยด์ฮฮร์โมน) การกินยาบางชนิดซึ่งมีผลข้าง เคียงกระตุ้นให้อยากอาหาร เช่น ยากันชัก หรือ ยารักษาโรคทางจิตเวช การผ่อนคลายความ เครียดด้วยการกิน คนท้องซึ่งกินมากในช่วงตั้งครรภ์ และเมื่อคลอดแล้วไม่สามารถลดน้ำหนักได้ ในผู้สูงอายุเพราะเคลื่อนไหวได้ช้า และมีโรคประจำตัวซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย และมีบางการศึกษาพบว่าอาจเกิดจากการอดนอนเสมอ (นอนวันละ 5 ชั่ว โมงหรือน้อยกว่า) ทั้งนี้เพราะในขณะนอนหลับ ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเพื่อลดการอยากอาหาร (ฮอร์โมนเลปติน/leptin) และฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการใช้พลังงานของร่างกาย (ฮอร์โมนอินซูลิน/insulin)

การดูแลตนเองเมื่อปล่อยให้อ้วนแล้ว มักเป็นการยากที่จะควบคุมน้ำหนักได้ ดังนั้นจึงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนักตั้งแต่เมื่อเริ่มมีน้ำหนักเกิน เช่น รู้สึกเสื้อผ้าคับ หรือ เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วน้ำหนักขึ้นต่อเนื่องทุกอาทิตย์ ซึ่งการดูแลตนเองที่สำคัญ คือ ต้องตระหนักถึงความสำคัญของโทษของโรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกิน และมีอุตสาหะในการควบคุมน้ำหนัก โดย
  • กินอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลง ค่อยๆทยอยลด เพราะถ้าลดฮวบฮาบ จะทนหิวไม่ได้ ไม่กินจุบจิบ และเมื่อมีกิจกรรมต่างๆ เช่น ท่องเที่ยว ประชุม ก็ยังควรต้องจำกัดอาหารเสมอ
  • จำกัดอาหารแป้ง หวาน และไขมัน เพิ่ม ผักและผลไม้
  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เคลื่อนไหว/เคลื่อนไหวน้อย เช่น ลดการดูทีวี โดยทำงานบ้านทดแทน
  • พยายามหาทางให้ร่างกายใช้พลังงาน เช่น ลงรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ทำงาน 1 ป้าย หรือ ใช้ลิฟต์เฉพาะเมื่อจำเป็น
  • พยายามออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที
  • ชั่งน้ำหนักทุกสัปดาห์
  • การควบคุมน้ำหนัก ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกคนในครอบครัว โดย เฉพาะในเรื่องอาหาร เช่น ไม่ซื้อขนมเข้าบ้าน
  • ไม่ซื้อยาลดความอ้วนกินเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะยามีผลข้างเคียงหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ และอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ เช่น เบื่ออาหารมากจนกินได้น้อย ขาดอาหาร การรับรสชาติผิดปกติ ท้องผูก ปากแห้ง เหงื่อออกมาก นอนไม่หลับ คลื่นไส้อาเจียน ความดันโลหิตสูง ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ปวดศีรษะ กังวล หงุด หงิดง่าย และสับสน
  • ควรพบแพทย์ เมื่อดูแลตนเองแล้ว น้ำหนักยังขึ้นต่อเนื่อง หรือเมื่อกังวลในเรื่องน้ำหนัก
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://haamor.com/

บรรณานุกรม
ดัชนีมวลกาย http://th.wikipedia.org/wiki/ดัชนีมวลกาย
Body mass index. http://en.wikipedia.org/wiki/Body_mass_index [2014,March6].
Jitnarin, N. et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults: results of the National Thai Food Consumption Survey. Nutrients. 2, 60-74.
Kantachuvessiri, A. (2005). Obesity in Thailand. J Med Assoc Thai. 88, 554-562.
Obesity. http://en.wikipedia.org/wiki/Obesity [2014,March6].
Obesity and overweight http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs311/en/index.html [2014,March6].
Waist-hip ratio. http://en.wikipedia.org/wiki/Waist%E2%80%93hip_ratio [2014,March6].
Updated 2014, March 6
วิกิโรควิกิยาสุขภาพเด็กสุขภาพผู้สูงอายุสุขภาพผู้หญิงและความงามเกร็ดสุขภาพสุขภาพทั่วไปเพศศึกษาBLOG

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น